วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ฎีกาที่ 712/2557

คำพิพากษาฎีกาที่ 712/2557

จำเลยประกอบธุรกิจจัดสรรที่ดินทราบดีว่าที่ดินมีแนวสายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่านไม่อาจปลูกสร้างบ้านในที่ดินเต็มเนื้อที่ เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ต้องบอกข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องแนวสายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่านที่ดินจนไม่อาจปลูกสร้างบ้านในที่ดินได้เต็มเนื้อที่แก่ลูกค้าซึ่เป็นผู้บริโภคแต่ไม่มีการบอกแก่โจทก์ ถือได้ว่าจำเลยปกปิดข้อเท็จจริงซึ่งเป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับคุณสมบัติของที่ดินจนเป็นเหตุให้โจทก์สำคัญผิดว่าที่ดินใช้ปลูกสร้างบ้านได้เต็มพื้นที่ แม้ก่อนทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน จ.พนักงานบริษัทจำเลยพาโจทก์ไปดูที่ดินซึ่งโจทก์สังเกตเห็นสายไฟฟ้าแรงสูงตั้งอยู่ในบริเวณที่ดินก็ตาม แต่โจทก์ได้รับคำชี้แจงว่าสายไฟฟ้าติดตั้งไว้นานหลายปีแล้ว และที่ดินสามารถปลูกสร้างบ้านตามแบบบ้านได้ โจทก์จึงทำสัญญาจองซื้อที่ดินและวางเงินมัดจำและทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน แสดงว่าโจทก์ไม่ทราบว่าที่ดินมีสายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่านไม่อาจปลูกสร้างบ้านได้เต็มเนื้อที่ การที่โจทก์ไม่ทราบข้อเท็จจริงไม่อาจถือเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์เพราะโจทก์ได้รับคำยืนยันว่าสามารถปลูกสร้างบ้านบนที่ดินได้ นับได้ว่าโจทก์ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่วิสัยของผู้บริโภคในพฤติการณ์เช่นนั้นแล้ว ไม่อาจถือได้ว่าโจทก์แสดงเจตนาทำสัญญาจะซื้อจะขายโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของที่ดินด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงตาม ป.พ.พ.มาตรา 158 ประกอบมาตรา 157 สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินอันเกิดจากความสำคัญผิดของโจทก์ในคุณสมบัติของทรัพย์สินซึ่งเป็นสาระสำคัญตกเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ.มาตรา 157 ชอบที่โจทก์จะบอกล้างโดยบอกเลิกสัญญาแก่จำเลย เมื่อโจทก์บอกล้างโมฆียะกรรมแล้ว ต้องถือว่าสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก โจทก์และจำเลยผู้เป็นคู่สัญญาย่อมกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามมาตรา 176 วรรคหนึ่ง จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่จำเลยได้รับไว้จากโจทก์

ไม่มีความคิดเห็น:

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4607/2562

  คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4607/2562 แม้ตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 12 จะให้สิทธิผู้เช่าซื้อในการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเสียเมื่อใดก็ได้ โดยผู้เช่าซื้อจะต้...