วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2558

คำพิพากษาฎีกาที่ 609/2557

คำพิพากษาฎีกาที่ 609/2557

เมื่อจำเลยขอคืนเงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีอายัดไว้ตามหมายบังคับคดีที่สิ้นผลแล้ว เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงต้องคืนเงินดังกล่าวแก่จำเลย และแม้จำเลยจะยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาให้ศาลฎีกามีคำสั่งคืนเงินดังกล่าวนั้น เมื่อการเสนอคำร้องขอที่เกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษา ป.วิ.พ. มาตรา 7(2) บัญญัติให้เสนอต่อศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดีตามมาตรา 302 และศาลที่มีอำนาจทำคำวินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องใดๆอันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามมาตรา 302 คือศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั่นต้นการที่ศาลชั้นต้นสอบถามและมีคำสั่งให้คืนเงินแก่จำเลยจึงชอบแล้ว

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

คำพิพากษาฎีกาที่ 15227/2556

คำพิพากษาฎีกาที่ 15227/2556

โจทก์ฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้เนื่องจากโจทก์ไม่ใช่คู่ความและผู้ค้ำประกันในคดีหมายเลขแดงที่ 778/2554 ของศาลชั้นต้น คำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ให้ต้องปฏิบัติตามนั้น เห็นว่า แม้โจทก์ไม่ได้ถูกฟ้องเป็นคู่ความในคดีดังกล่าว แต่เมื่อโจทก์ยินยอมใช้รถแทรกเตอร์ 2 คันของตนเป็ฯประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่มีต่อจำเลยที่ 1 ด้วยการตกลงนำหลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของรถแทรกเตอร์ดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 ยึดถือไว้และลงลายมือชื่อยืนยันการตกลงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความด้วย และศาลได้พิพากษาไปตามนั้น ผลแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความจึงผูกพันโจทก์ให้ต้องปฏิบัติตาม และต้องถือว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียซึ่งมีสิทธิตามกฎหมายที่จะโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาหรือการบังคับคดีตามคำพิพากษาได้ เมื่อโจทก์เห็นว่าการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงเป็นข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีเดิม โจทก์ชอบที่จะขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีเดิมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 7(2) ประกอบมาตรา 302 วรรคหนึ่ง โจทก์จะยกข้ออ้างนี้ขึ้นฟ้องเป็นคดีใหม่หาได้ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2558

เขตอำนาจศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1184/2556

โจทก์กับจำเลยทั้งสามมุ่งจะทำสัญญาเป็นหนังสือระหว่างกัน ย่อมถือได้ว่าสถานที่ที่โจทก์ลงชื่อเป็นคู่สัญญาในฐานะผู้ขายเป็นสถานที่ที่มูลคดีเกิดอีกแห่งหนึ่งด้วย ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสามต่อศาลชั้นต้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4(1) และมาตรา 5

วันศุกร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง

ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง       พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดิน พ.ศ.2543   
   
มาตรา 44 ผู้จัดสรรที่ดินจะพ้นจากหน้าที่บำรุงรักษาสาธารณูปโภคตามมาตรา 43 เมื่อได้มีการดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ภายหลังจากครบกำหนดระยะเวลาที่ผู้จัดสรรที่ดินรับผิดชอบการบำรุงรักษาสาธารณูปโภคตามมาตรา 23 (5) แล้วตามลำดับ ดังต่อไปนี้
(1) ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรตามพระราชบัญญัตินี้ หรือนิติบุคคลตามกฎหมายอื่นเพื่อรับโอนทรัพย์สินดังกล่าวไปจัดการและดูแลบำรุงรักษา ภายในเวลาที่ผู้จัดสรรที่ดินกำหนด ซึ่งต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากผู้จัดสรรที่ดิน
(2) ผู้จัดสรรที่ดินได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการให้ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อการบำรุงรักษาสาธารณูปโภค
(3) ผู้จัดสรรที่ดินจดทะเบียนโอนทรัพย์สินดังกล่าวให้เป็นสาธารณประโยชน์
              การดำเนินการตาม (1) และ (2) ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลางกำหนด ทั้งนี้ โดยต้องกำหนดให้ผู้จัดสรรที่ดินรับผิดชอบจำนวนเงินค่าบำรุงรักษาสาธารณูปโภคส่วนหนึ่งด้วย

มาตรา 49 ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภค ให้จัดเก็บเป็นรายเดือนจากที่ดินแปลงย่อยในโครงการจัดสรรที่ดินทุกแปลง ทั้งนี้ อาจกำหนดค่าใช้จ่ายในอัตราที่แตกต่างกันตามประเภทการใช้ประโยชน์ที่ดินหรือขนาดพื้นที่ได้ตามระเบียบที่คณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลางกำหนด
ให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรออกค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคสำหรับที่ดินจัดสรรที่ตนซื้อ และให้ผู้จัดสรรที่ดินออกค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคสำหรับที่ดินแปลงย่อยที่ยังไม่มีผู้ซื้อ
               การกำหนดและการแก้ไขอัตราค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภค จะต้องได้รับความเห็นชอบจากมติที่ประชุมใหญ่ของสมาชิกตามมาตรา 44 (1)หรือคณะกรรมการตามมาตรา 44 (2)
ให้เริ่มเก็บค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคเมื่อเริ่มจัดตั้งนิติบุคคลตามมาตรา 44 (1) หรือเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการตามมาตรา 44 (2) โดยให้นิติบุคคลตามมาตรา 44 (1) หรือผู้ซึ่งดำเนินการเพื่อการบำรุงรักษาสาธารณูปโภคตามที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการตามมาตรา 44(2) ที่มีหน้าที่ในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคมีอำนาจในการจัดเก็บ
                 หลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคและการจัดทำบัญชี ให้เป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการจัดสรรที่ดินกลางกำหนด

มาตรา 50 ผู้มีหน้าที่ชำระเงินค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคตามมาตรา 49 วรรคสอง ที่ชำระเงินดังกล่าวล่าช้ากว่าเวลาที่กำหนด จะต้องจ่ายค่าปรับสำหรับการจ่ายเงินล่าช้าตามอัตราที่คณะกรรมการกำหนด
ผู้ที่ค้างชำระเงินค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคติดต่อกันตั้งแต่สามเดือนขึ้นไปอาจถูกระงับการให้บริการหรือการใช้สิทธิในสาธารณูปโภค และในกรณีที่ค้างชำระติดต่อกันตั้งแต่หกเดือนขึ้นไป พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในที่ดินจัดสรรของผู้ค้างชำระจนกว่าจะชำระให้ครบถ้วน ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด
               ให้ถือว่าหนี้ค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคเป็นหนี้บุริมสิทธิในมูลรักษาอสังหาริมทรัพย์เหนือที่ดินจัดสรรของผู้ค้างชำระ



***ในส่วนของค่าใช้จ่ายส่วนกลาง กรณีหมู่บ้านยังไม่ได้จัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ค่ารักษาความปลอดภัย ค่าไฟฟ้าส่องสว่างในโครงการ ค่ารักษาความสะอาดส่วนกลาง ให้ผู้ซื้อที่ดินจัดสรรออกค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคสำหรับที่ดินจัดสรรที่ตนซื้อ และให้ผู้จัดสรรที่ดินออกค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคสำหรับที่ดินแปลงย่อยที่ยังไม่มีผู้ซื้อ 
           ดังนั้น เมื่อมีผู้ซื้อที่ดินจัดสรรและมีการให้บริการสาธารณะ เมื่อใด ผู้จัดสรรที่ดินก็สามารถเรียกเก็บและใช้จ่ายค่าใช้บริการ และค่าบำรุงรักษาบริการสาธารณะได้ โดยค่าบำรุงรักษาและการจัดการสาธารณูปโภคเป็นจำนวนเท่าไรนั้น ต้องพิจารณาตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในโครงการวิธีการจัดสรรหรือเอกสารสัญญาที่ตกลงกันระหว่างผู้จัดสรรและผู้ซื้อ 



 
 


 

หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงิน

คำพิพากษาฎีกาที่ 759/2557

จำเลยไม่ได้กู้ยืมเงินไปจำนวน 390,000 บาท ตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน โจทก์กรอกจำนวนเงินในภายหลังว่าจำเลยกู้ยืมเงินจำนวนดังกล่าวซึ่งมากกว่าจำนวนหนี้กู้ยืมที่มีอยู่จริงในวันทำสัญญากู้ยืมโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย หนังสือสัญญากู้ยืมเงินจึงเป็นเอกสารปลอมและถือได้ว่าการกู้ยืมตามฟ้องโจทก์มิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือ โจทก์ไม่อาจฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 653 วรรคหนึ่ง และมิใช่เป็นกรณีที่จำเลยให้การรับแล้วที่โจทก์ไม่จำต้องอ้างสัญญากู้ยืมเงินเป็นพยานหลักฐาน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินในจำนวนที่รับว่าได้กู้ยืมจากโจทก์

ถอนคืนการ ให้

คำพิพากษาฎีกาที่ 6424/2557

จำเลยยักยอกเงินโจทก์ เมื่อโจทก์ไปทวงเงินคืนจำเลยได้พูดว่าโจทก์ต่อหน้าผู้อื่นว่า "ไอ้แก่ แก่แล้วเลอะเลือน" เป็นการด่าโจทก์ผู้เป็นบิดาโดยไม่ให้ความเคารพนับถือยำเกรงเป็นถ้อยคำที่หยาบคายแสดงถึงการเหยียดหยามไม่นับถือโจทก์เป็นบิดา เพราะใช้คำว่า "ไอ้แก่" ถือได้ว่าเป็นถ้อยคำที่หมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์จึงมีสิทธิถอนคืนการให้ที่ดินพิพาทเพราะเหตุประพฤติเนรคุณจากจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 531(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4607/2562

  คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4607/2562 แม้ตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 12 จะให้สิทธิผู้เช่าซื้อในการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเสียเมื่อใดก็ได้ โดยผู้เช่าซื้อจะต้...