คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3195/2567 เรื่องเช่าซื้อรถยนต์ ค้ำประกัน
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๖ จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้ออีซูซุ จากโจทก์ราคาไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ๙๔๙,๓๙๐.๕๖ บาท มีจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม หลังจากทำสัญญาจำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อเพียง ๑๐ งวด แล้วผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่เดือน ธันวาคม ๒๕๕๖ โจทก์ติดตามทวงถามหลายครั้งแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ต่อมาวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๗ จำเลยที่ ๑ ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์แต่การส่งมอบรถคืนดังกล่าวไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญาเช่าซื้อ โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและจำเลยที่ ๑ ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ด้วยความสมัครใจ โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสองใช้สิทธิซื้อรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๗ โจทก์นำรถที่เช่าซื้อออกขายทอดตลาดได้เงิน ๓๒๘,๐๐๐ บาท หลังจากนั้นโจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้และค่าเสียหายแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย การกระทำของจำเลยที่ ๑ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดชำระค่าขาดราคา ๔๘๙,๕๓๐.๗๖ บาท เบี้ยปรับของค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ ๓,๒๕๙.๑๙ บาท ค่าขาดประโยชน์นับแต่วันที่จำเลยที่ ๑ ผิดนัดจนถึงวันที่โจทก์ได้รับรถคืน ๖๐,๐๐๐ บาท ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม ๓,๖๙๒.๐๘ บาท รวมเป็นเงิน ๕๕๖,๔๘๒.๐๓ บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๕๕๖,๔๘๒.๐๓บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์ ๔๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๔ ) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใฝช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๓,๐๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๓ ต่อปี หรือดอกเบี้ยลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามที่กระทรวงการคลังอาจปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ ๒ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๔ ) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยทุกช่วงเวลาให้ไม่เกินอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีตามที่โจทก์ขอ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ.
โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๖ จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้องอีซูซุ ไปจากโจทก์ ราคาไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม ๙๔๙,๓๙๐.๕๖ บาท มีจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมจำเลยที่ ๑ เริ่มผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่เดือน ธันวาคม ๒๕๕๖ ต่อมาวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๗ จำเลยที่ ๑ ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ และต่อมาวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๗ โจทก์นถรถยนต์ที่เช่าซื้อออกขายทอดตลาดได้เงิน ๓๒๘,๐๐๐ บาท ศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองรับผิดเฉพาะค่าขาดประโยชน์และดอกเบี้ย ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาแก้ในส่วนจำนวนค่าขาดประโยชน์และอัตราดอกเบี้ยของค่าขาดประโยชน์ โดยไม่กำหนดค่าขาดราคาและค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม ปัญหาในส่วนค่าขาดประโยชน์พร้อมดอกเบี้ยและค่าภาษีมูลค่าเพิ่มไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาประการแรกว่า การที่โจทก์หยิบยกเรื่องสัญญาเช่าซื้อเลิกกันตามข้อสัญญาเพราะเหตุที่จำเลยที่ ๑ ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ขึ้นอุทธรณ์เป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยที่ ๑ ผิดนัดสามงวดติดต่อกันและส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ แต่ไม่เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อ ซึ่งก็คือสัญญาเช่าซื้อข้อ ๑๓ และข้อ ๑๔ การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าการส่งมอบรถยนต์ไม่เป็นไปตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๑๓ และข้อ ๑๔ จึงไม่ขัดกับคำฟ้องและทางนำสืบของโจทก์ นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่า จำเลยที่ ๑ ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นมา ๔ งวดติดต่อกัน จนถึงวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๗ จำเลยที่ ๑ ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยที่ ๑ ส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์หลังจากที่จำเลยที่ ๑ ผิดนัดผิดสัญญาจึงเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๑ แสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์อันเป็นการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อสัญญา ไม่ใช่คู่สัญญาสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย ก็เป็นเรื่องที่โจทก์หยิบยกเอาข้อกฎหมายมาปรับใช้แก่ข้อเท็จจริงในคดี ซึ่งเป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะ หากศาลเห็นว่าข้อกฎหมายที่คู่ความอ้างมาไม่ถูกต้องก็ชอบที่จะปรับบทไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในสำนวนเองได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ วินิจฉัยว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและไม่รับวินิจฉัยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาประการสุดท้ายว่า สัญญาเช่าซื้อมิได้เลิกกันโดยปริยาย จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชำระค่าขาดราคาแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ได้รับรถยนต์ที่เช่าซื้อกลับคืนมาหลังจากจำเลยที่ ๑ ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ ๓ งวดติดต่อกันแล้ว ทั้งตามหนังสือเรื่องขอส่งทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนบริษัท และขอบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อมีข้อความว่าจำเลยที่ ๑ มีความประสงค์ขอบอกเลิกสัญญาและยินยอมและรับทราบถึงความรับผิดต่างๆ รวมทั้งค่าขาดราคา เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดเดือนธันวาคมเป็นเวลาเกินกว่า ๓ งวด ติดต่อกัน ไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่าโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามและขอบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยทั้งสอง และจำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายแสดงเจตนาส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโดยไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ ๑ ชำระเงินทั้งปวงที่ถึงกำหนดชำระหรือเป็นหนี้ตามสัญญานี้อยู่ในเวลานั้น ทันทีอันเป็นเงื่อนไขของการบอกเลิกสัญญาของผู้เช่าซื้อตามสัญญาข้อ ๑๔ แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวยังไม่เพียงพอถือเป็นหลักเกณฑ์หรือข้อสรุปว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว เพราะเหตุคู่สัญญาสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย ความสัมครใจเลิกสัญญากันโดยปริยายของคู่สัญญายังต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ของโจทก์ในเวลารับมอบรถยนต์คืนด้วยว่าในขณะนั้นโจทก์ยินยอมพร้อมใจเลิกสัญญากับจำเลยที่ ๑ โดยปริยาย ไม่ยึดถือปฏิบัติตามข้อสัญญารวมทั้งไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายตามสัญญาต่อจำเลยที่ ๑ อีกแล้วหรือไม่ หากได้ความดังนั้น จึงจะถือว่าโจทก์สมัครใจเลิกสัญญากับจำเลยที่ ๑ โดยปริยาย แต่หากได้ความว่าโจทก์ยังอิดเอื้อนโต้แย้งในการส่งมอบรถยนต์คืนของจำเลยที่ ๑ หรือโจทก์เพียงรับมอบรถยนต์ไว้เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายจากการผิดสัญญาของจำเลยที่ ๑ ยิ่งขึ้นไป โดยโจทก์ยังคงสงวนสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายตามสัญญาอันเป็นผลมาจากการประพฤติผิดสัญญาของจำเลยที่ ๑ ในเวลารับมอบรถยนต์ไว้ด้วย ย่อมถือไม่ได้ว่าโจทก์สมัครใจเลิกสัญญาโดยปริยายกับจำเลยที่ ๑ ข้อเท็จจริงได้ความจากหนังสือเรื่องขอส่งทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนบริษัท และขอบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อย่อหน้าสุดท้ายที่มีข้อความว่า "...ในนามของบริษัทได้รับทรัพย์สินที่เช่าซื้อดังกล่าวแล้วในวันนี้ แและขอสงวนสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหาย ค่าสินไหมทดแทนอันจะพึงมีตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวไว้ด้วยจนกว่าจะได้รับการชำระหนี้จากผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกันครบถ้วน " การแสดงเจตนาของโจทก์เช่นั้นในเวลารับมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากจำเลยที่ ๑ เป็นพฤติการณ์อันแสดงให้เห็นว่า โจทก์มิได้สมัครใจเลิกสัญญากับจำเลยที่ ๑ โดยปริยาย แต่ยังอิดเอื้อนสงวนสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้น มิใช่ว่าโจทก์สมัครใจเลิกสัญญาไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายใดจากจำเลยที่ ๑ อีก โจทก์ย่อมเรียกร้องค่าเสียหายเป็นค่าขาดราคารถยนต์ตามสิทธิแห่งตนที่ได้สงวนไว้ต่อจำเลยที่ ๑ ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ เห็นว่า สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เลิกกันโดยปริยาย และจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดชำระค่าขาดราคารถยนต์แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อย่างไรก็ตามข้อตกลงที่จำเลยที่ ๑ จะรับผิดชำระค่าขาดราคาให้แก่โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อข้อ ๑๓ มีลักษณะเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้า อันเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งหากสูงเกินส่วน ศาลย่อมลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๘๓ วรรคหนึ่ง เมื่อพิจารณาถึงเงินลงทุนของโจทก์กับเงินค่าเช่าซื้อที่จำเลยที่ ๑ ผ่อนชำระ และเงินที่โจทก์ได้รับจากการขายทอดตลาดประกอบทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายแล้ว เห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายเป็นค่าขาดราคาให้แก่โจทก์ ๒๗๐,๐๐๐ บาท ในส่วนของดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีของค่าขาดราคาที่โจทก์ขอมานั้น เห็นว่า แม้โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวได้ตามสัยญาเช่าซื้อข้อ ๑๖ แต่ข้อตกลงดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี่ยปรับเช่นกัน ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดให้ในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ ๑ แต่จำเลยที่ ๑ ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดประจำวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๖ ในขณะใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๖๘๖ วรรคหนึ่ง (เดิม) จำเลยที่ ๒ ผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในค่าขาดราคาด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าขาดราคา ๒๗๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๔ ) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นฎีกานอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ