วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558
สัญญาเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์
สัญญาเช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ แม้จะมีกำหนดเกินกว่า 3 ปี ก็ไม่ต้องจดทะเบียน
วันศุกร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2558
ห้ามฟ้องลูกหนี้ที่ตาย เกิน 1 ปี
ตามมาตรา 1754 วรรคสาม ภายใต้บังคับแห่งมาตรา 193/27 แห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้อันมีต่อเจ้ามรดกมีกำหนดอายุความยาวกว่าหนึ่งปี มิให้เจ้าหนี้นั้นฟ้องร้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี นับแต่เมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก
ดังนั้นเจ้าหนี้ทั้งหลาย เมื่อทราบเรื่องการตายของลูกหนี้ก็ต้องรีบดำเนินการส่งเรื่องฟ้องร้องให้ทันภายใน 1 ปี นับแต่วันรู้ หรือควรรู้ ถึงแม้หนี้จะยังไม่ถึงกำหนดชำระก็ตาม มิฉะนั้นแล้ว อาจเจอลูกหนี้แต่งทนายความต่อสู้คดีเรื่องอายุความเอาได้นะครับ
แต่มีข้อยกเว้นฟ้องเกิน 1 ปีได้ เช่น มีการทำสัญาจำนองเอาไว้ ฟ้องบังคับจำนองได้ครับ
ดังนั้นเจ้าหนี้ทั้งหลาย เมื่อทราบเรื่องการตายของลูกหนี้ก็ต้องรีบดำเนินการส่งเรื่องฟ้องร้องให้ทันภายใน 1 ปี นับแต่วันรู้ หรือควรรู้ ถึงแม้หนี้จะยังไม่ถึงกำหนดชำระก็ตาม มิฉะนั้นแล้ว อาจเจอลูกหนี้แต่งทนายความต่อสู้คดีเรื่องอายุความเอาได้นะครับ
แต่มีข้อยกเว้นฟ้องเกิน 1 ปีได้ เช่น มีการทำสัญาจำนองเอาไว้ ฟ้องบังคับจำนองได้ครับ
วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2558
ไม่มีหลักฐานการใช้เงิน
*ถ้าไม่มีหลักฐานการใช้เงิน หรือได้เวนคืนเอกสาร หรือแทงเพิกถอนเอกสาร ผู้กู้ไม่มีสิทธินำสืบถึงการใช้เงินได้เลย ฎีกาที่ 1612/2512
*คำพิพากษาฎีกาที่ 6270/2539 การที่จำเลยอ้างว่ามีการชำระหนี้หมดสิ้นแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมคืนสัญญา โดยอ้างว่าหายนั้น ไม่ใช่เหตุที่จะทำให้จำเลยหลุดพ้นความรับผิด ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 วรรคสอง
*คำพิพากษาฎีกาที่ 6270/2539 การที่จำเลยอ้างว่ามีการชำระหนี้หมดสิ้นแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมคืนสัญญา โดยอ้างว่าหายนั้น ไม่ใช่เหตุที่จะทำให้จำเลยหลุดพ้นความรับผิด ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 653 วรรคสอง
ผู้กู้ชำระดอกเบี้ยเกินอัตราให้ผู้ให้กู้ไปแล้วเรียกคืนไม่ได้
หากผู้กู้ได้ชำระดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดให้แก่ผู้ให้กู้แล้ว จะเรียกคืนไม่ได้
ฎีกาที่ 3864/2524
ฎีกาที่ 3864/2524
สัญญากู้ไม่ได้ระบุอัตราดอกเบี้ยเอาไว้
สัญญากู้ไม่ได้ระบุอัตราดอกเบี้ยไว้ หรือดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะ เพราะคิดเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ผู้ให้กู้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในระหว่างผิดนัดเท่านั้น
วันเสาร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2558
การเช่าทรัพย์
เช่าทรัพย์
คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผู้ให้เช่า ตกลงให้บุคลลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้เช่าได้ใช้ หรือรับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งชั่วระยะเวลาอันมีจำกัดและผู้เช่าตกลงจะให้ค่าเช่าเพื่อการนั้น มาตรา 537
*ผู้ให้เช่าไมี่จำเป็นต้องเป้นเจ้าของทรัพย์สินที่เช่า
*สัญญาเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เช่า เมื่อผู้เช่าตาย สัญญาเช่าระงับ ไม่เป้นมรดกตกแก่ทายาท
*สัญญาเช่าต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา กับสัญญาเช่าซื้อไม่เป็นสิทธิเฉพาะตัว ตกทอดแก่ทายาท
หลักฐานการเช่า สัญญาเช่าต้องทำเป็นหนังสือ หรือจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มาตรา 538 (เช่ากว่า 3 ปี หรือตลอดอายุของผู้เช่า หรือผู้ให้เช่า ต้องทำเป็นหนังสือ+จดทะเบียน)
การเช่าช่วง หรือโอนสิทธิการเช่า ผู้เช่าทำไม่ได้ เว้นแต่ มีข้อตกลงให้ทำกันได้ ถ้าฝ่าฝืนบอกเลิกสัญญาได้
หน้าที่และความรับผิดของผู้เช่า
*ต้องใช้ทรัพย์สินที่เช่าตามประเพณีนิยมปกติหรือตามสัญญา
*ต้องสงวนทรัพย์เสมอวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตัวเอง และต้องบำรุงรักษาซ่อมแซมเล็กน้อย
*ต้องให้ผู้ให้เช่าหรือตัวแทนเข้าตรวจดูทรัพย์สินที่เช่า
*ชำระค่าเช่า
*ดัดแปลงต่อเติม ต้องได้รับอนุญาต
*ผู้เช่าต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายแก่ทรัพย์ที่เช่า เว้นแต่เกิดจากการใช้ทรัพย์โดยชอบ
กรณีผู้ประกอบธุรกิจในการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ เรียกค่าเช่า ใช้อายุความ 2 ปี ม.193/34(6)
คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผู้ให้เช่า ตกลงให้บุคลลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้เช่าได้ใช้ หรือรับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งชั่วระยะเวลาอันมีจำกัดและผู้เช่าตกลงจะให้ค่าเช่าเพื่อการนั้น มาตรา 537
*ผู้ให้เช่าไมี่จำเป็นต้องเป้นเจ้าของทรัพย์สินที่เช่า
*สัญญาเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เช่า เมื่อผู้เช่าตาย สัญญาเช่าระงับ ไม่เป้นมรดกตกแก่ทายาท
*สัญญาเช่าต่างตอบแทนยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา กับสัญญาเช่าซื้อไม่เป็นสิทธิเฉพาะตัว ตกทอดแก่ทายาท
หลักฐานการเช่า สัญญาเช่าต้องทำเป็นหนังสือ หรือจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มาตรา 538 (เช่ากว่า 3 ปี หรือตลอดอายุของผู้เช่า หรือผู้ให้เช่า ต้องทำเป็นหนังสือ+จดทะเบียน)
การเช่าช่วง หรือโอนสิทธิการเช่า ผู้เช่าทำไม่ได้ เว้นแต่ มีข้อตกลงให้ทำกันได้ ถ้าฝ่าฝืนบอกเลิกสัญญาได้
หน้าที่และความรับผิดของผู้เช่า
*ต้องใช้ทรัพย์สินที่เช่าตามประเพณีนิยมปกติหรือตามสัญญา
*ต้องสงวนทรัพย์เสมอวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตัวเอง และต้องบำรุงรักษาซ่อมแซมเล็กน้อย
*ต้องให้ผู้ให้เช่าหรือตัวแทนเข้าตรวจดูทรัพย์สินที่เช่า
*ชำระค่าเช่า
*ดัดแปลงต่อเติม ต้องได้รับอนุญาต
*ผู้เช่าต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายแก่ทรัพย์ที่เช่า เว้นแต่เกิดจากการใช้ทรัพย์โดยชอบ
กรณีผู้ประกอบธุรกิจในการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ เรียกค่าเช่า ใช้อายุความ 2 ปี ม.193/34(6)
วันศุกร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2558
ฎีกาที่ 4419/2556
ฎีกาที่ 4419/2556
ที่ดินทั้งสองแปลงที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าโจทก์นพรังวัดทำแผนที่พิพาทรุกล้ำเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินที่โจทก์กับจำเลยพิพาทกัน จึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ในอันที่ผู้ร้องสอดทั้งสองจะเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามในคดีนี้เพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ ผู้ร้องสอดทั้งสองจึงมีอำนาจร้องสอด และโดยผลของมาตรา 58 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องสอดทั้งสองจึงมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเป็นสาธารณสมบัติของแผนดิน ผู้ที่ครอบครองที่ดินพิพาทแม้จะยกข้อต่อสู้ในเรื่องสิทธิครอบครองกับรัฐมิได้ แต่ผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมีสิทธิโต้แย้งบุคคลอื่นที่มิใช่เป็นผู้ครอบครองได้ เมื่อโจทก์ยอมรับว่าที่ดินพิพาทมีจำเลยเป็นผู้ครอบครองอยู่ แม้จำเลยเข้าใจผิดว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและจำเลยยอมทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทด้วยตนเองจึงต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมิใช่โจทก์เพราะโจทก์มิได้เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างแท้จริงการที่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาท ถือว่าจำเลยแสดงว่าตนเองมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแล้วโจทก์ไม่อาจอ้างว่าตนเองมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้และมิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคหนึ่ง , 142(5) ประกอบมาตรา 26 และมาตรา 247 โจทก์นำรังวัดที่ดินพิพาทรุกล้ำเข้าไปในที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติซึ่งผู้ร้องสอดทั้งสองอ้างว่าครอบครองอยู่ การกระทำของโจทก์เป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องสอดทั้งสอง เมื่อโจทก์มิได้เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิกระทำการใดอันเป็นการรบกวนการครอบครองของผู้ร้องสอดทั้งสอง
ที่ดินทั้งสองแปลงที่ผู้ร้องสอดอ้างว่าโจทก์นพรังวัดทำแผนที่พิพาทรุกล้ำเป็นที่ดินแปลงเดียวกับที่ดินที่โจทก์กับจำเลยพิพาทกัน จึงต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57 (1) ในอันที่ผู้ร้องสอดทั้งสองจะเข้ามาเป็นคู่ความฝ่ายที่สามในคดีนี้เพื่อยังให้ได้รับความรับรองคุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ ผู้ร้องสอดทั้งสองจึงมีอำนาจร้องสอด และโดยผลของมาตรา 58 วรรคหนึ่ง ผู้ร้องสอดทั้งสองจึงมีสิทธิเสมือนหนึ่งว่าตนได้ฟ้องหรือถูกฟ้องเป็นคดีเรื่องใหม่ ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเป็นสาธารณสมบัติของแผนดิน ผู้ที่ครอบครองที่ดินพิพาทแม้จะยกข้อต่อสู้ในเรื่องสิทธิครอบครองกับรัฐมิได้ แต่ผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมีสิทธิโต้แย้งบุคคลอื่นที่มิใช่เป็นผู้ครอบครองได้ เมื่อโจทก์ยอมรับว่าที่ดินพิพาทมีจำเลยเป็นผู้ครอบครองอยู่ แม้จำเลยเข้าใจผิดว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและจำเลยยอมทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทกับโจทก์ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่ดินพิพาทด้วยตนเองจึงต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมิใช่โจทก์เพราะโจทก์มิได้เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทอย่างแท้จริงการที่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาท ถือว่าจำเลยแสดงว่าตนเองมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทแล้วโจทก์ไม่อาจอ้างว่าตนเองมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การมิได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้และมิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ วรรคหนึ่ง , 142(5) ประกอบมาตรา 26 และมาตรา 247 โจทก์นำรังวัดที่ดินพิพาทรุกล้ำเข้าไปในที่ดินที่อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติซึ่งผู้ร้องสอดทั้งสองอ้างว่าครอบครองอยู่ การกระทำของโจทก์เป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้ร้องสอดทั้งสอง เมื่อโจทก์มิได้เป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิกระทำการใดอันเป็นการรบกวนการครอบครองของผู้ร้องสอดทั้งสอง
ฎีกาที่ 4433/2556
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4433/2556
โจทก์มิได้มีอาการเจ็บป่วยจนไม่สามารถมาศาลได้ตามคำร้องของเลื่อนคดี ทั้งโจทก์มิได้เตรียมพยานอื่นมาศาล สาเหตุการขอเลื่อนคดีของโจทก์ เนื่องจากโจทก์เพิ่งแต่งตั้งทนายความเข้ามาในระยะกระชั้นชิดทำให้ทนายโจทก์ไม่มีเวลาศึกษาข้อเท็จจริงและเตรียมพยานหลักฐานมาสืบ ทั้งที่โจทก์ทราบถึงการถอนตัวของทนายโจทก์คนเดิมถึง 3 เดือน แต่โจทก์เพิ่งแต่งตั้งทนายความเข้ามาใหม่ในวันนัดสืบพยานโจทก์ แสดงถึงความไม่เอาใจใส่ในการดำเนินคดีของโจทก์การที่ทนายความของโจทก์ไม่มีเวลาเตรียมคดีและนำพยานหลักฐานมาสืบเกิดจากความบกพร่องของโจทก์เอง มิใช่เพราะจำเป็นอันจะสมควรให้เลื่อนคดีคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์จึงชอบแล้ว
ข้อผิดระเบียบในเรื่องเรียกเก็บค่าขึ้นศาลไม่ครบถ้วนถูกต้องมิได้กระทบกระเทือนถึงการดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนอื่น กระบวนพิจารณาส่วนใดที่ดำเนินไปแล้วโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมไม่เสียไป หากข้อผิดหลงในการเรียกเก็บค่าขึ้นศาลปรากฎขึ้นก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็สั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มให้ครบถ้วนถูกต้องได้ เมื่อโจทก์ปฏิบัติตามคำสั่งแล้วก็สามารถดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปโดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปเริ่มกระบวนพิจารณาใหม่ หากข้อผิดหลงในการเรียกเก็บค่าขึ้นศาลเพอ่มปรากฎขึ้นภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว คำพิพากษาของศาลชั้นต้นย่อมมีผลผูกพันคู่ความตามกฎหมาย ไม่มีเหตุจะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและให้ดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยใหม่
โจทก์มิได้มีอาการเจ็บป่วยจนไม่สามารถมาศาลได้ตามคำร้องของเลื่อนคดี ทั้งโจทก์มิได้เตรียมพยานอื่นมาศาล สาเหตุการขอเลื่อนคดีของโจทก์ เนื่องจากโจทก์เพิ่งแต่งตั้งทนายความเข้ามาในระยะกระชั้นชิดทำให้ทนายโจทก์ไม่มีเวลาศึกษาข้อเท็จจริงและเตรียมพยานหลักฐานมาสืบ ทั้งที่โจทก์ทราบถึงการถอนตัวของทนายโจทก์คนเดิมถึง 3 เดือน แต่โจทก์เพิ่งแต่งตั้งทนายความเข้ามาใหม่ในวันนัดสืบพยานโจทก์ แสดงถึงความไม่เอาใจใส่ในการดำเนินคดีของโจทก์การที่ทนายความของโจทก์ไม่มีเวลาเตรียมคดีและนำพยานหลักฐานมาสืบเกิดจากความบกพร่องของโจทก์เอง มิใช่เพราะจำเป็นอันจะสมควรให้เลื่อนคดีคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์จึงชอบแล้ว
ข้อผิดระเบียบในเรื่องเรียกเก็บค่าขึ้นศาลไม่ครบถ้วนถูกต้องมิได้กระทบกระเทือนถึงการดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนอื่น กระบวนพิจารณาส่วนใดที่ดำเนินไปแล้วโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมไม่เสียไป หากข้อผิดหลงในการเรียกเก็บค่าขึ้นศาลปรากฎขึ้นก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็สั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มให้ครบถ้วนถูกต้องได้ เมื่อโจทก์ปฏิบัติตามคำสั่งแล้วก็สามารถดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปโดยไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนไปเริ่มกระบวนพิจารณาใหม่ หากข้อผิดหลงในการเรียกเก็บค่าขึ้นศาลเพอ่มปรากฎขึ้นภายหลังศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว คำพิพากษาของศาลชั้นต้นย่อมมีผลผูกพันคู่ความตามกฎหมาย ไม่มีเหตุจะเพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและให้ดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยใหม่
วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2558
ฎีกาที่ 12978/2555
ฎีกาที่ 12978/2555
จำเลยซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก โทรศัพท์มาหาโจทก์ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดชัยนาท เพื่อเสนอขายสมุดคู่มือจดทะเบียนรถตามฟ้อง และโจทก์ตอบตกลงว่าจะรับซื้อสมุดคู่มือจดทะเบียนรถจากจำเลยไว้ มูลคดีจึงเกิดที่ภูมิลำเนาของจำเลย ซึ่งเป็นสถานที่ที่คำสนองรับซื้อของโจทก์ไปถึงจำเลย อันอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดพิษณุโลก โจทก์จึงต้องฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลและมูลคดีเกิดในเขตศาล แม้โจทก์นัดจำเลยให้ส่งมอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถให้แก่โจทก์ที่อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ก็มิใช่สถานที่ที่ต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิต่อโจทก์เกิดขึ้น หาทำให้มูลคดีซึ่งเกิดขึ้นที่จังหวัดพิษณุโลก อันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยเปลี่ยนแปลงไปไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจเสนอคำฟ้องต่อศาลจังหวัดสิงห์บุรี
จำเลยซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก โทรศัพท์มาหาโจทก์ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดชัยนาท เพื่อเสนอขายสมุดคู่มือจดทะเบียนรถตามฟ้อง และโจทก์ตอบตกลงว่าจะรับซื้อสมุดคู่มือจดทะเบียนรถจากจำเลยไว้ มูลคดีจึงเกิดที่ภูมิลำเนาของจำเลย ซึ่งเป็นสถานที่ที่คำสนองรับซื้อของโจทก์ไปถึงจำเลย อันอยู่ในเขตอำนาจของศาลจังหวัดพิษณุโลก โจทก์จึงต้องฟ้องจำเลยที่ศาลจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลและมูลคดีเกิดในเขตศาล แม้โจทก์นัดจำเลยให้ส่งมอบสมุดคู่มือจดทะเบียนรถให้แก่โจทก์ที่อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ก็มิใช่สถานที่ที่ต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิต่อโจทก์เกิดขึ้น หาทำให้มูลคดีซึ่งเกิดขึ้นที่จังหวัดพิษณุโลก อันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยเปลี่ยนแปลงไปไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจเสนอคำฟ้องต่อศาลจังหวัดสิงห์บุรี
วันพฤหัสบดีที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2558
ฎีกาที่ 3195/2549
ฎีกาที่ 3195/2549
เมื่อหนี้คดีนี้อันเกิดจากมูลละเมิด เกิดขึ้นหลังจากที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการของจำเลยที่ 2 และแผนฟื้นฟูกิจการมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องร้องจำเลยที่ 2 ลูกหนี้เป็นคดีแพ่งต่อศาลชั้นต้นที่มีเขตอำนาจได้ โดยไม่ต้องขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย ฯ มาตรา 90/62 และไม่ต้องห้ามมิให้ฟ้องจำเลยที่ 2 ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย ฯ มาตรา 90/12 (4)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3195/2567
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3195/2567 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ หลังจากจำเลยที่ 1 ทำสัญญาได้ชำระค่าเช่าซื้อ...
-
จากข้อเท็จจริง ขาวยิงแดงตายโดยคิดว่าแดงเป็นหมูป่า ซึ่งหลบอยู่หลังพุ่มไม้ แม้ขาวไม่ผิดฐานฆ่าแดงตายโดยเจตนา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 เพราะ...
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 712/2557 จำเลย ประกอบธุรกิจจัดสรรที่ดิน ทราบดีว่าที่ดินมีแนวสายไฟฟ้าแรงสูงพาดผ่านไม่อาจปลูกสร้างบ้านในที่ดินเต็มเนื้อที่ ...
-
ในสัญญาเช่า มักมีข้อความว่า ผู้เช่าสัญญาว่าจะจัดการดูแลรักษาทรัพย์สินที่เช่าให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยและบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้...