วันศุกร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2568

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3195/2567

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3195/2567

                 โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ หลังจากจำเลยที่ 1 ทำสัญญาได้ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์เพียง 10 งวด แล้วผิดนัดตั้งแต่งวดเดือนธันวาคม 2556 โจทก์ติดตามทวงถามหลายครั้งแต่เพิกเฉย ต่อมาจำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ แต่การส่งมอบรถคืนดังกล่าวไม่เป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญาเช่าซื้อ โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา และจำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์ด้วยความสมัครใจ โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทั้งสองใช้สิทธิซื้อรถยนต์ที่เช่าซื้อคืน แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย  โจทก์นำรถยนต์ออกขายทอดตลาด ยังมีส่วนขาดทุน แจ้งให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้และค่าเสียหาย เป็นค่าขาดราคา 489,530.76 บาท เบี้ยปรับ 3,259.19 บาท ค่าขาดประโยชน์คิดถึงวันที่ได้รับรถยนค์คืน 60,000 บาท ค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 3,692.08 บาท รวมเป็นเงิน  556,482.03 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี

                จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ

                ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์ 40,000  บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 กันยายน 2564 ) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท

                โจทก์อุทธรณ์

                ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าขาดประโยชน์ 60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 3 ต่อปี หรือ ดอกเบี้ยลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามที่กระทรวงการคลังอาจปรับเปลี่ยนโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 22 กันยายน 2564 ) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยทุกช่วงเวลาให้ไม่เกิน อัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ คำขออื่นอกจากนี้ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

                โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา

                ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคตรวจสำนวนปรึกษาแล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาประการแรกว่า การที่โจทก์หยิบยกเรื่องสัญญาเช่าซื้อเลิกกันตามข้อสัญญาเพราะเหตุที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ขึ้นอุทธรณ์เป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่า จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดเดือนธันวาคม 2556 เป็นต้นมา 4 งวดติดต่อกัน จนวันที่ 28 มีนาคม 2557 จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ โจทก์จึงใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์คืนโจทก์หลังจากที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดผิดสัญญาจึงเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 แสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์อันเป็นการใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อสัญญา ไม่ใช่คู่สัญญาสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย ก็เป็นเรื่องที่โจทก์หยิบยกเอาข้อกฎหมายมาปรับใช้แก่ข้อเท็จจริงในคดี ซึ่งเป็นอำนาจของศาลโดยเฉพาะ หากศาลเห็นว่าข้อกฎหมายที่คู่ความอ้างมาไม่ถูกต้องก็ชอบที่จะปรับบทไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฎในสำนวนเองได้ ที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 วินิจฉัยว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและไม่รับวินิจฉัยนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น

                             คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาประการสุดท้าย ว่า สัญญาเช่าซื้อมิได้เลิกกันโดยปริยาย จำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชำระค่าขาดราคาแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริง รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดเดือนธันวาคมเป็นเวลาเกินกว่า 3 งวด ติดต่อกัน ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามและขอบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยทั้งสอง และจำเลยที่ 1 แสดงเจตนาส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโดยไม่ปรากฎว่าจำเลยที่ 1 ชำระเงินทั้งปวงที่ถึงกำหนดชำระหรือเป็นหนี้ตามสัญญานี้อยู่ในเวลานั้นทันทีอันเป็นเงื่อนไขของการบอกเลิกสัญญาของผู้เช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 14 แต่ ข้อเท็จจริงดังกล่าวยังไม่เพียงพอถือเป็นหลักเกณฑ์หรือข้อสรุปว่าสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้วเพราะเหตุคู่สัญญาสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย ความสมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยายของคู่สัญญายังต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพฤติการณ์ของโจทก์ในเวลารับมอบรถยนต์คืนด้วยว่าในขณะนั้นโจทก์ยินยอมพร้อมใจเลิกสัญญากับจำเลยที่ 1 โดยปริยาย ไม่ยึดถือปฏิบัติตามข้อสัญญารวมทั้งไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายตามสัญญาต่อจำเลยที่ 1 อีกแล้วหรือไม่ หากได้ความดังนั้นจึงจะถือว่าโจทก์สมัครใจเลิกสัญญากับจำเลยที่ 1 โดยปริยาย แต่หากได้ความว่าโจทก์ยังคงอิดเอื้อนโต้แย้งในการส่งมอบรถยนต์คืนของจำเลยที่ 1 หรือโจทก์เพียงรับมอบรถยนต์ไว้เพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายจากการผิดสัญญาของจำเลยที่ 1 ยิ่งขึ้นไป โดยค่าเสียหายตามสัญญาอันเป็นผลจากการประพฤติผิดสัญญาของจำเลยที่ 1 ในเวลารับมอบรถยนต์ไว้ด้วย ย่อมถือไม่ได้ว่าโจทก์สมัครใจเลิกสัญญาโดยปริยายกับจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริง ได้ความจากหนังสือเรื่องขอส่งทรัพย์สินที่เช่าซื้อคืนบริษัทและขอบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อย่อหน้าสุดท้ายที่มีข้อความว่า ...ในนามของบริษัทได้รับทรัพย์สินที่เช่าซื้อดังกล่าวแล้วในวันนี้ และขอสงวนสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหาย ค่าสินไหมทดแทนอันจะพึงมีตามสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวไว้ด้วยกว่าจะได้รับการชำระหนี้จากผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกันครบถ้วน การแสดงเจตนาของโจทก์เช่นนั้นในเวลารับมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากจำเลยที่ 1 เป็นพฤติการณ์อันแสดงให้เห็นว่าโจทก์มิได้สมัครใจเลิกสัญญากับจำเลยที่ 1 โดยปริยาย  แต่ยังคงอิดเอื้อนสงวนสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้น มิใช่ว่าโจทก์สมัครใจเลิกสัญญาไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 อีก โจทก์ย่อมเรียกร้องค่าเสียหายเป็นค่าขาดราคารถยนต์ตามสิทธิแห่งตนที่ได้สงวนไว้ต่อจำเลยที่ 1 ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 เห็นว่า สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เลิกกันโดยปริยาย และจำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดชำระค่าขาดราคารถยนต์แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3195/2567

  คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3195/2567                  โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อ หลังจากจำเลยที่ 1 ทำสัญญาได้ชำระค่าเช่าซื้อ...